กระแสตรง (DC) และ กระแสสลับ (AC)

เวลาพูดถึง ไฟฟ้า หลายคนอาจนึกถึงแค่ปลั๊กที่บ้าน หรือแบตเตอรี่ แต่จริง ๆ แล้ว ไฟฟ้าที่เราใช้มี 2 แบบหลัก ๆ คือ

  • ไฟฟ้ากระแสตรง (DC : Direct Current)
  • ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC : Alternating Current)

ถ้าเราเข้าใจสองแบบนี้ ก็จะเข้าใจการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น


🔋 1. ไฟฟ้ากระแสตรง (DC)

ความหมาย

  • กระแสไฟฟ้าไหลไปทางเดียวตลอดเวลา (อิเล็คตรอนเคลื่อนไปทางเดียว)
  • ขั้ว + จะเป็นบวกเสมอ และขั้ว – จะเป็นลบเสมอ
  • ไม่สลับไปมา

ตัวอย่าง

  • ถ่านไฟฉาย
  • แบตเตอรี่รถยนต์
  • พาวเวอร์แบงค์

ลักษณะสำคัญ

  • แรงดันไฟเสถียร ไม่แกว่งไปมา → เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความแม่นยำ
  • อุปกรณ์ที่ใช้ DC เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน นาฬิกา

👉 สรุป : DC เหมือนน้ำที่ไหลออกจากก๊อกไปทางเดียว ไม่วกกลับ


⚡ 2. ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC)

ความหมาย

  • กระแสไฟฟ้า สลับขั้วบวก-ลบไปมา ตลอดเวลา
  • สลับเร็วมาก ๆ ใน 1 วินาทีจะสลับหลายสิบครั้ง

ตัวอย่าง

  • ไฟบ้านที่เราเสียบปลั๊กใช้งาน (ในประเทศไทยสลับ 50 ครั้งต่อวินาที หรือ 50Hz )
  • พัดลม ไดร์เป่าผม เครื่องซักผ้า

ลักษณะสำคัญ

  • เปลี่ยนแรงดันได้ง่าย โดยใช้หม้อแปลง แปลงขึ้นหรือแปลงลง → ทำให้ส่งไฟฟ้าไปได้ไกล ๆ
  • เหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานเยอะ เช่น มอเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โรงงานอุตสาหกรรม

👉 สรุป : AC เหมือนน้ำที่ไหลไป-กลับตามจังหวะ เหมือนคลื่นขึ้นลงในทะเล


📌 เปรียบเทียบ DC vs AC

คุณสมบัติDC (กระแสตรง)AC (กระแสสลับ)
ทิศทางกระแสไหลไปทางเดียวสลับไป-กลับตลอดเวลา
ความเสถียรคงที่ ไม่แกว่งเปลี่ยนขั้วตลอด
เหมาะกับอะไรอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อุปกรณ์ใช้กำลัง เช่น มอเตอร์
ตัวอย่างแหล่งจ่ายถ่าน, แบตเตอรี่, พาวเวอร์แบงค์ไฟบ้าน, ไฟจากเครื่องปั่นไฟ

แม้ว่าเราจะอธิบายแหล่งพลังงานได้เพียงสองประเภท แต่ความรู้นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากการไหลของอิเล็กตรอน หากคุณสามารถอธิบายพฤติกรรมของแรงดันไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า ในกระแสตรงและกระแสสลับได้ด้วยคำพูด และแม้กระทั่งจินตนาการถึงพฤติกรรมเหล่านั้นได้ คุณคงจินตนาการได้ว่าการศึกษาเรื่องไฟฟ้าในอนาคตของคุณจะก้าวหน้าไปอย่างราบรื่นยิ่งกว่าที่เคย

Scroll to Top